“DKSH ประเทศไทย” ฉลองการส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 สู่ชาวไทยครบ 70 ล้านโดส
หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ดีเคเอสเอช ประเทศไทย ฉลองการส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 70 ล้านโดสเป็นที่เรียบร้อย โดยได้ส่งมอบในนามรัฐบาลไทยและพันธมิตรต่างๆ ทั้งนี้ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัดได้กระจายวัคซีนจากผู้ผลิตหลายรายสู่โรงพยาบาลทั่วประเทศ ในฐานะหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนแนวทางการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยภารกิจนี้ บริษัทฯ ได้รับบทบาทสำคัญระดับแนวหน้า ร่วมยกระดับการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรไทยอย่างทั่วถึง และได้สนับสนุนการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไทยโดยตลอดมา นับตั้งแต่การรับมอบวัคซีนล็อตแรกที่เดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
จอห์น แคลร์ รองประธานฝ่ายบริหาร หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ครอบคลุมเครือข่ายการกระจายสินค้าของ DKSH รวมทั้งการบริหารจัดการของผู้เชี่ยวชาญกว่า 3,000 รายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ถึงมือผู้รับได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ ตลอดจนระบบคลังสินค้าและขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) และ ระบบโซลูชันในการบริหารจัดการวัคซีนที่มีความโดดเด่น ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารคลังสินค้า จนถึงการจัดการจุดดูแลรักษา (Point of Care) ส่งผลให้ DKSH มีศักยภาพและความเชี่ยวชาญสูงในการจัดเก็บและกระจายวัคซีน ผลิตภัณฑ์ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ให้แก่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในประเทศและธุรกิจข้ามชาติ”
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการเข้าถึงและการกระจายวัคซีนแก่ประชากรชาวไทยทั่วประเทศ เพื่อร่วมพัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของ DKSH ในการเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตผู้คน
“DKSH ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนทิศทางของวงการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในอนาคต ซึ่งการมีโซลูชั่นที่เป็นเลิศด้านการจัดเก็บและขนส่งผลิตภัณฑ์แบบควบคุมอุณหภูมิจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะผู้นำบริการด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชีย เราตั้งมั่นที่จะใช้ความสามารถที่มีอยู่เพื่อขับเคลื่อนความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงวัคซีน ตลอดจนร่วมเสริมสร้างสุขภาพและความปลอดภัยของสาธารณชนต่อไป” จอห์น แคลร์ กล่าวเพิ่มเติม