หอการค้าไทย-จีน เปิดความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) สร้างเส้นทางการค้า-ลงทุนในอนาคต

0 0
Read Time:3 Minute, 39 Second

หอการค้าไทย-จีน เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยปี 2564 กว่า 41.% คาดว่าเศรษฐกิจไทยโต 2.5-3.5% โดยเศรษฐกิจจีนจะกลับมาฟื้นตัวสูงและมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนพร้อมกลับมามากขึ้น ขณะที่สถานการณ์การค้าโลกผ่อนคลาย หลังสหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่ สอดรับ IMF ที่ประเมินเศรษฐกิจจีน และไทยโต 8.2% และ 4% ตามลำดับ ปูพรมเปิดความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) สร้างเครือข่ายอำนวยความสะดวกสร้างเส้นทางการค้า-ลงทุนในอนาคต

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าได้จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 1/2564 ซึ่งสำรวจจากความเห็นของคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีนเครือข่ายสมาพันธ์หอการค้าไทย-จีน สมาคมธุรกิจต่างๆ ของจีนกว่า 60 สมาคมฯ รวมทั้งนักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ และชาวจีนโพ้นทะเล ผ่านการประมวลผลข้อมูล Google Survey From โดยแบบสอบถาม ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจไทย-จีน 2) ตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจไทย 3) ตัวชี้วัดปัจจัยเกื้อหนุน และ 4) ประเด็นเฉพาะกิจ หรือเหตุการณ์ โดยพบว่า 61.5% ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตสูงขึ้นสอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีน เนื่องจากจีนสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ 50% ของผู้ถูกสำรวจต่างคาดการณ์ จะมีนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น และแนวโน้มนักท่องเที่ยวจากจีนน่าจะเริ่มกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง และกล่าวได้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนนั้น น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นได้ ในไตรมาสท่ีหนึ่งปี 2564 ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของกองทนุการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (IMF) ที่คาดการณ์ว่าปี 2564 เศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวราว 5.2% ส่วนเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 8.2% และเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวที่ 4.0%

สำหรับมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจไทย พบว่าผลสำรวจ 44.1% คาดการณ์ว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะโตน้อยกว่า 2.5% และ 41.3% คาดว่าเศรษฐกิจ ไทยจะโตอยู่ระหว่าง 2.5-3.5% เนื่องจากผลสำรวจ สัดส่วน 43.3% มองว่าเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของไทยโดยรวมในไตรมาสแรกของปี 2564 โดยเฉพาะในภาคธุรกิจพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร บริการโลจิสติกส์ บริการสุขภาพ และสินค้าเกษตรแปรรูป จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ขณะที่อุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย ได้แก่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง และอุตสาหกรรมการผลิต เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีมาตรการการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้เกิดการกระตุ้นการขับเคลื่อนของธุรกิจดังกล่าว

ทั้งนี้ในความเคลื่อนไหวทางด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 46.7% คาดการณ์ว่าไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน กลุ่มสำรวจ 70% มองว่าผู้ค้ากับต่างประเทศต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงของค่าเงินบาท ที่อาจจะมีทิศทางแข็งค่ามากขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยอาจจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ในการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น แม้ว่าจะมีการค้นพบวัคซีนก็ตาม

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ที่ได้ นายโจ ไบเดน เป็น ประธานาธิบดีคนใหม่ เชื่อว่าจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐและจีนผ่อนคลายลง ซึ่งกลุ่มสำรวจใน 70% เห็นว่าความชัดเจนดังกล่าว จะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของระหว่างสองประเทศทำให้การค้าโลกผ่อนคลายมากขึ้นที่จะมีส่วนทำให้ไทยได้รับผลดีตามไปด้วย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดของนักลงทุน โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองไทย และมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน ในรอบ 10 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-ต.ค. 2563) มีมูลค่า รวมทั้งสิ้น 64,763 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 17.89% ของมูลค่าการค้ารวมของไทยโดยมีการส่งออกไปยังประเทศจีนมูลค่า 24,542 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2.7% คิดเป็น 12.76% ของการส่งออกของไทย

นอกจากนี้เพื่อส่งเสริม และอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับสมาชิก หอการค้าไทย-จีนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างหอการค้าไทยจีน กับ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ และโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงการเข้าถึงการบริการของธนาคารแห่งประเทศจีนทั่วโลก

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

Leave a Reply

%d bloggers like this: