ลดขนาดหน้าอกใหญ่ ด้วยการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก รวมเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
เมื่อมีการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าอกเล็ก อกแบน เพื่อปรับขนาดหน้าอกให้ดูใหญ่และเต่งตึงมากขึ้นก็ย่อมมีการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก (Breast Reduction) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อผู้ที่มีขนาดหน้าอกใหญ่เกินไปซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น คุณแม่หลังตั้งครรภ์หรือแม้กระทั่งปัญหาหน้าอกใหญ่โดยไม่ทราบสาเหตุจนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา เช่น มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดศีรษะ ปวดแขนหรือทำให้เกิดอาการชาอยู่บ่อยๆ รวมไปจนถึงทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่อยากเข้าสังคมเนื่องจากถูกล้อเลียนเกี่ยวกับขนาดหน้าอกหรือรู้สึกว่ามีคนจ้องมองตลอดเวลา Beauty Med Hub แพลตฟอร์มความรู้ด้านศัลยกรรมตกแต่งและความงามโดยทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มาพร้อมข้อมูลที่น่าสนใจและเรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจผ่าตัดลดขนาดหน้าอก เพื่อให้ผลลัพธ์หลังการรักษาสวยงาม คุ้มค่าและปลอดภัย
การผ่าตัดลดขนาดหน้าอก (Breast Reduction) คืออะไร?
การผ่าตัดลดขนาดหน้าอก (Breast Reduction) คือ การศัลยกรรมเพื่อปรับลดขนาดของหน้าอกและลานนมให้เล็กลงพร้อมปรับรูปทรงของเต้านมให้สวยงามมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าอกใหญ่จนดูไม่รับเข้ากับสรีระร่างกายหรือเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้แพทย์จะต้องเป็นผู้ประเมินขนาดของหน้าอกโดยละเอียดว่าควรปรับลดขนาดด้วยวิธีการผ่าตัดหรือสามารถใช้วิธีการรักษาแบบประคับประคองไปก่อนโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น การจ่ายยาแก้ปวด การใส่เสื้อในชนิดพิเศษหรือการออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังและคอ ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกโดยไม่จำเป็น
ข้อดีของการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
- ผลการศึกษาข้อมูลในเคสผ่าตัดลดขนาดหน้าอกโดย Mayo Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าช่วยให้อาการปวดไหล่ ปวดเต้านม ปวดหลังส่วนบนดีขึ้นและปัญหาผื่นคันใต้ราวนมหายไปมากกว่า 80%
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับขนาดหน้าอกและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคซึมเศร้า
- ช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัว สามารถเดิน วิ่ง ก้มหรือออกกำลังกายได้ตามที่ต้องการ
- ช่วยให้เลือกซื้อเสื้อผ้ารวมถึงชุดชั้นในได้ง่ายขึ้น แต่งตัวแล้วดูไม่โป๊
รวมเรื่องที่ต้องรู้ก่อนการตัดสินใจผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
1.ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
สำหรับเพศหญิงในกลุ่มวัยรุ่นควรรอให้มีอายุ 18 ปีเป็นต้นไปจึงจะสามารถผ่าตัดลดขนาดหน้าอกได้อย่างปลอดภัย ป้องกันภาวะข้างเคียงหลังการผ่าตัด ส่วนคุณแม่หลังตั้งครรภ์หรือหลังให้นมบุตรควรรอให้ขนาดหน้าอกหยุดเปลี่ยนแปลงหรือรอให้น้ำนมแห้งสนิทในช่วง 3-6 เดือนหลังคลอดจึงค่อยเข้ารับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
2.ขนาดของหน้าอกที่ควรผ่าตัดออกมาก-น้อย แค่ไหน?
อ้างอิงจากผลการศึกษาผู้เข้ารับบริการจำนวน 114 เคส ที่เผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์ Plastic and Reconstructive Surgery (PRS) พบว่ากลุ่มที่ลดขนาดหน้าอกน้อยกว่า 500 กรัมและมากกว่า 500 กรัม มีปัญหาด้านสุขภาพน้อยลงและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ไม่แตกต่างกัน ดังนั้นแล้วการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกออกมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการเป็นหลัก โดยแพทย์ผู้ดูแลอาจให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่าควรปรับลดขนาดหน้าอกประมาณไหนจึงจะได้หน้าอกที่สวยงามและรับกับสรีระร่างกายมากที่สุด
3.การตรวจ Mammogram ก่อนการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
โดยปกติแพทย์จะทำการตรวจเต้านมขั้นต้นเพื่อหาความผิดปกติของเต้านมก่อนเริ่มขั้นตอนการผ่าตัดอยู่แล้ว สำหรับผู้เข้ารับบริการที่มีอายุมากกว่า 40 ปี หรืออายุยังน้อยแต่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเต้านม (เช่น คลำพบก้อนเนื้อ มีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านมในครอบครัว) ก็จะต้องเข้าตรวจ Mammogram หรือตรวจอัลตราซาวนด์เต้านมก่อนเริ่มขั้นตอนการผ่าตัดเป็นรายๆ ไป เพื่อให้แพทย์ทราบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาและทำการรักษาได้อย่างตรงจุด ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าชิ้นเนื้อของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกมีเนื้อผิดปกติได้ที่ราวๆ 3-10% และอาจตรวจพบมะเร็งที่ประมาณ 0.9-2.4%
4.วิธีผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
วิธีผ่าตัดลดขนาดหน้าอกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีทั้งหมด 3 วิธี ได้แก่
- การกรีดแผลผ่าตัดรอบปานนม (Circumareolar Incision)
เป็นการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกเฉพาะบริเวณลานนม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดขนาดเต้านมแค่เพียงเล็กน้อย ช่วยยกหัวนมขึ้นไม่เกิน 2 cm. และทำให้เกิดรอยแผลได้น้อย
- แผลผ่าตัดแบบตั้ง (Vertical Incision)
เป็นการผ่าตัดเปิดแผลจากหัวนมลงมาถึงราวใต้นม เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกเยอะมากและต้องการผ่าตัดออก วิธีนี้แพทย์จะทำการผ่าตัดในแนวตั้งและเย็บเก็บเข้ามาเพื่อทำให้หน้าอกกระชับและดูกลมสวย ใช้เวลาในการพักฟื้นประมาณ 3-6 เดือน
- แผลผ่าตัดรูปตัว T (inverted T Incision)
แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลที่มีลักษณะคล้ายกับตัว T กลับหัวตั้งแต่บริเวณหัวนมไปจนถึงใต้ราวนม วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้มีเนื้อหน้าอกเยอะ อกหย่อนคล้อยมากเป็นพิเศษ แพทย์สามารถตัดเนื้อหน้าอกส่วนเกินออกได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนพร้อมกับการปรับย้ายหัวนมไปยังจุดที่เหมาะสม ข้อควรระวังของวิธีนี้คือใช้เวลาในการผ่าตัดนาน รอยแผลผ่าตัดยาวและอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่หน้าอกหากแพทย์ผู้ดูแลขาดทักษะและประสบการณ์ในการผ่าตัด
5.หลังผ่าตัดหน้าอกแล้วหน้าอกจะโตขึ้นอีกหรือไม่?
หลังการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกอาจทำให้หน้าอกกลับมาโตขึ้นได้อีกเล็กน้อยซึ่งอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ภาวะอ้วนหลังการผ่าตัด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกาย การตั้งครรภ์ ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามขนาดของหน้าอกจะไม่กลับมาโตขึ้นจนเท่ากับก่อนเข้ารับผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
ข้อควรระวังเกี่ยวกับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
- ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและควรงบสูบบุหรี่ก่อน-หลัง การผ่าตัดอย่างน้อย 4 สัปดาห์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษา
- ในกรณีที่ผู้เข้ารับบริการเป็นโรคอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักตัวเกินมากๆ ควรลดน้ำหนักเพื่อให้มีค่า BMI น้อยกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตรและรอให้น้ำหนักตัวคงที่อย่างน้อย 3-6 เดือน จึงจะสามารถเข้ารับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
- ไม่ควรเข้ารับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น วัยรุ่นที่อายุน้อยกว่า 18 ปี คุณแม่หลังคลอดที่ขนาดของเต้านมยังไม่คงที่ ฯลฯ เพราะอาจทำให้หน้าอกกลับมาขยายใหญ่ซ้ำได้อย่างรวดเร็วและต้องผ่าตัดลดขนาดหน้าอกอีกครั้ง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกหรือการศัลยกรรมหน้าอกรูปแบบต่างๆ ได้ที่ Beauty Med Hub แพลตฟอร์มนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการศัลยกรรมตกแต่งและความงามโดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางเป็นแห่งแรกของไทย นำทีมโดย รศ.นพ.พรเทพ พึ่งรัศมี ศัลยแพทย์ตกแต่งจาก BeContour Plastic Surgery ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำศัลยกรรมตกแต่งและการแก้ไขปัญหาทรวงอกและสรีระ นพ.ฉัตรพงษ์ ศาสตรสาธิต (หมอบี) จาก Bestheticsurgery แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง และ นพ.อธิคม ถนัดพจนามาตย์ (หมอโฮป) ศัลยแพทย์ตกแต่งจาก Dr.Hope Plastic Surgery เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องตามหลักการแพทย์ได้อย่างง่ายดาย